คาราวานทิเบตพิชิตหลังคาโลก Everest Base camp, Northface-Tibet-Lhasa
กับการขับรถเดินทางรอนแรมนอกประเทศยาวไกลกว่า 7,700 กม. ใช้เวลา 25 วัน ขับผ่านความสูงที่ 5,300 MSL (เมตร เหนือระดับน้ำทะเล) กับอากาศเบาบางหนาวเหน็บถึง -3 C
ทริปนี้ นอกจากจะเป็นทริปท้าทายยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตการเดินทางของแต่ละคนแล้ว
ยังเป็นบทพิสูจน์ทั้งสมรรถนะความพร้อมของรถยนต์ สมรรถภาพร่างกายของผู้เดินทาง
จิตใจที่พร้อมสำหรับเผชิญหน้าอุปสรรคที่ไม่คาดคิด
และความมีน้ำใจของแต่ละคนในคณะได้เป็นอย่างดี
#วันที่ 11 กรกฏาคม 2559 (วันแรกของการเดินทาง) คณะเราทั้งหมด 10 คน กับรถ 5
คัน
พร้อมไกด์ลาว 1 คน ออกเดินทางจาก อ.เชียงของ จ.เชียงราย ข้ามชายแดนสู่ สปป.ลาว ที่
อ.ห้วยทราย วิ่งผ่านเมืองหลวงน้ำทา, ข้ามด่านลาว-จีน ที่ อ.บ่อเต็น
เปลี่ยนไกด์เป็นสาวชาวจีน 2 คน ทำเอกสารผ่านด่านบ่อหาน
จากนั้นขับต่อไปยังเมืองล่าเพื่อทำการตรวจสภาพรถอย่างเข้มงวด
ถึงที่พักคืนแรกที่เมืองเชียงรุ้ง หรือสิบสองปันนาตามที่คนไทยรู้จักกันดี
กว่าจะเอาธงชาติไทยมาโบกสะบัดกางถ่ายรูปที่ดินแดนแห่งนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ |
#วันที่ 2 ของการเดินทาง เรานัดเวลากันสายๆ เดินทางเข้าเมืองฮาย เลาะเรียบแม่น้ำล้านช้าง
หรือแม่น้ำโขง เส้นทางเกือบตลอดการเดินทางในวันนี้จะเป็นถนน 2 เลน ผ่านขุนเขาสลับคดเคี้ยวและโค้งหักศอกมากมาย
กว่าจะถึงที่พักเมืองหลินชางก็เกือบหกโมงเย็น อากาศวันนี้เริ่มจะเย็นๆ หลังจากเจอฝนกันมาตลอดทาง
#วันที่ 3 ช่วงเช้าของวันนี้
หลายคนต้องงัดเอาเสื่อผ้าหนาๆมาใส่กันบ้างแล้ว
หลังจากที่เราจัดการอาหารเช้าและธุระส่วนตัวกันเรียบร้อย คณะเราก็เดินทางลัดเลาะตามถนน 2 เลนส์ ไต่เขาที่ความสูงประมาณ 2,000 MSL ขับผ่านเมืองต้าลี่ แล้วเปลี่ยนมาใช้ทางด่วนต่อไปยังเมืองลี่เจียง ซึงเป็นที่พักของพวกเราสำหรับค่ำคืนนี้
หลังจากที่เราจัดการอาหารเช้าและธุระส่วนตัวกันเรียบร้อย คณะเราก็เดินทางลัดเลาะตามถนน 2 เลนส์ ไต่เขาที่ความสูงประมาณ 2,000 MSL ขับผ่านเมืองต้าลี่ แล้วเปลี่ยนมาใช้ทางด่วนต่อไปยังเมืองลี่เจียง ซึงเป็นที่พักของพวกเราสำหรับค่ำคืนนี้
#วันที่ 4 มุ่งหน้าสู่เมือง “จงเตี้ยน” หรือเมือง “แชงกรีล่า”
ไต่ระดับความสูงที่ 3,300 MSL ซึ่งหลายๆคนที่เดินทางผ่านเมืองนี้จะเกิดอาการแพ้ความกดอากาศ
หรือ Altitude Sickness ลักษณะอาการจะเริ่มตั้งแต่ปวดหัวบริเวณหลังเบ้าตา มึนงง ปวดท้อง
ไปจนถึงเลือดกำเดาไหลและอาเจียน อาการนี้บรรเทาได้ด้วยการสูดออกซิเจนกระป๋อง และทานยาปรับสภาพร่างกาย
ที่สามารถหาซื้อได้ทั่วๆไปในเขตย่านนี้ และที่สำคัญ
ไม่ควรเคลื่อนไหวร่างกาย ลุกนั่งหรือหันศรีษะเร็วๆ อาจทำให้หน้ามืด เป็นลมได้แบบไม่รู้ตัว
ไกด์หนุ่มชาวทิเบต ได้บินจากกรุงลาซา มารอรับคณะเราแล้วตั้งแต่เมื่อวาน
มาจัดการทำเอกสารข้ามแดนล่วงหน้า เพื่อคณะเราจะได้ผ่านเข้าสู่เขตทิเบตได้สะดวกยิ่งขึ้น ทริปนี้ เราจึงมีไกด์ร่วมเดินทางด้วยถึง 3
คน
เส้นทางจากเมืองแชงกรีล่าถึงเมืองเต๋อชิง ต้องผ่านถนนที่มีความสูงถึง 4,292
MSL ผ่านยอดเขาหิมะหลายลูก
นับเป็นเส้นทางที่สวยงามมากอีกเส้นทางหนึ่งเลยทีเดียว
เส้นทางถนนส่วนใหญ่ในเขตทิเบต ถนนจะลัดเลาะไปตามโค้งของลำธารธรรมชาติ ที่ละลายมาจากหิมะบนยอดเขาแต่ละลูก ไหลเรียงมารวมกันเป็นลำธารขนาดใหญ่ เฉลี่ยความสูงของวันนี้ประมาณ 4,000 MSL วิ่งผ่านจุดสูงสุดของเส้นทางที่ 5,200 MSL มองเห็นเทือกเขาหิมาลัยในมุมพานอรามาอย่างเต็มตาชัดเจน อ็อกซิเจนกระป๋อง จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว
ช่วงบ่ายแก่ๆ คณะเราขับมาถึงทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ โอบล้อมไปด้วยขุนเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะบางๆ ก็จะพบกับชาวเผ่าทิเบตเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน มองเห็นฝูงจามรีและฝูงแพะหลายร้อยตัว กระจายแทะเล็มหญ้าเขียวอ่อนไปรอบบริเวณ ชาวเผ่าเร่ร่อนนี้อาศัยอยู่ในกระโจมที่ทำจากหนังจามรีสีดำ ปลูกสร้างแบบง่ายๆเพื่อความสะดวกในการรื้อย้ายตามฝูงสัตว์ไปเรื่อยๆ การแต่งกายเน้นเสื้อผ้าสีโทนดำ เสริมหล่อสวยด้วยเครื่องประดับลูกปัดสี หินทิเบตแบบต่างๆ และกลิ่นตัวที่เหมือนกลิ่มนมที่เป็นเอกลักษณ์ นับว่าเป็นสิ่งแปลกๆที่เป็นมนต์เสน่ห์แบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ระหว่างทางก่อนถึงเมืองติงลี่ จิมี่ ไกด์ของเราก็ตะโกนโหวกเหวกลั่นรถ ชี้ชวนให้คณะเราหยุดรถ เพื่อชมกับยอดเขาเอเวอเรสต์อันยิ่งใหญ่ในภาพที่เล็กกระจิ๊ดริด แต่นั่น ก็ไม่อาจห้ามให้พวกเราตื่นเต้นกันได้เลย
วันนี้ คณะเราเดินทางมาถึงที่พักกันประมาณหนึ่งทุ่ม
ในบรรยากาศขมุกขมัวฝนปรอย หนาวเหน็บชื้น เหมาะกับการเป็นไข้เป็นอย่างยิ่ง
ไกด์พาเรามาถึงวัดรงบุก (Rongbu Desi วัดพุทธที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่สูงที่สุดในโลก ที่ความสูงกว่า 5,250 MSL) วัดนี้ยังคงทำการซ่อมแซมบูรณะมาต่อเนื่องนับตั้งแต่กลางปีที่แล้ว จากเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ที่ประเทศเนปาล
ขับรถกันต่อไปอีกไม่ไกล คณะเราก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดของถนน Everest Base Campฝั่งทิเบต หรือที่รู้จักในหมู่นักเดินทางปีนเขากันเป็นอย่างดีว่า Northface (ชาวทิเบตเรียกยอดเขาEverest ว่า “Qomolangma”)
จุดนี้ เป็นจุดพักแรมและจอดรถส่วนตัวทุกคันจุดสุดท้ายของนักเดินทางทุกๆคน สำหรับที่พักที่นี่ เป็นกระโจมที่ทำจากหนังสัตว์บ้าง สร้างจากไวนิลแบบใหม่บ้าง ต่างมีเตียงสนามอยู่3-4หลังและเตาผิงอยู่ภายใน ปลูกสร้างแบบง่ายๆเรียงรายโอบล้อมลานกว้างแนวสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่จัดไว้เป็นที่จอดรถและร้านขายของที่ระลึกของชาวท้องถิ่น กว้างประมาณ 2 สนามฟุตบอลเท่านั้น
จากนั้นคณะเราขึ้นรถบัสเล็ก กับระยะทางประมาณ 5 km.เพื่อเดินทางขึ้นไปยังจุดชมวิวจุดสุดท้ายของเมืองนี้ ที่ซึ่งอยู่ห่างจากยอดเขาเอเวอเรสต์เพียงแค่ 12 km.เท่านั้นเอง
จิมี่ ไกด์ทิเบตบอกกับคณะว่า เราโชคดีมากๆ เพราะทัศนะวิสัยที่ค่อนข้างเปิด มองเห็นวิวได้ชัดเจนเกือบตลอดทั้งวัน
ไกด์ยังบอกต่อไปอีกว่า มีกลุ่มนักถ่ายภาพชาวจีนกลุ่มใหญ่ที่เดินทางมาก่อนเรา ต้องรอถึง 3 วัน กว่าจะเก็บภาพสวยงามแบบที่เห็นในวันนี้ได้
ประมาณ 5 โมงเย็น คณะเราเดินทางกลับมาที่พัก (เราไม่นอนที่Base Campเพราะตอนกลางคืนลมแรงและหนาวเย็นมาก) ทานข้าวเย็นกันในภัตตาคารที่ดีที่สุดของเมืองนี้ เราเลือกนั่งมุมที่มองเห็นวิวเขาได้ชัดเจนที่สุด จนกระทั่งเกือบสองทุ่ม Qomolangma ก็เผยโฉมออกมาอีกครั้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์มาออกมาร่ำลาในแบบแสงสุดท้ายของวัน ถือว่าเป็นประสบประการณ์ที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว
คืนนี้ อุณหภูมิต่ำสุดถึง -3 C ที่พักตั้งอยู่ที่ความสูง 5,200 MSL แทบไม่มีใครหลับสนิทได้เลย เนื่องจากน็อคความสูงกันถ้วนหน้า
#วันที่ 14 Everest Basecamp-Xigaze
ช่วงที่เราเดินกลับไปยังโรงแรม ประมาณ 6 โมงเย็น เป็นช่วงที่ชาวเมืองเลิกงานพอดี เราจึงมีโอกาสได้เห็นผู้คนสัญจรกันจอแจ ข้างทางมีเครื่องประดับ สร้อยหิน ลูกปัด ต่างหู วางขายกันมากมาย
ก่อนถึงที่พัก เราเดินเลือกร้านที่จะทานมื้อเย็นกันอย่างชั่งใจอยู่หลายร้าน สุดท้าย หลายคนก็ปลีกตัวแยกย้ายกันพักผ่อนแบบมาม่าปลากระป๋องกันตามอัธยาศัย
ค่ำนี้ ทุกคนเข้าห้องพักกันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อดหลับอดนอนกันมาตั้งแต่เมื่อคืน
โค้งน้ำแยงซีเกียง |
บางช่วงถนนไต่ขอบฟ้าสู่เมือง "เต๋อชิง" |
ยอดเขา "อวากาโป" หรือยอดเขา "เหม่ยลี่" หนึ่งในยอดเขาที่สวยที่สุดในโลก ที่ความสูงกว่า 6,400 MSL |
เส้นทางจากเมือง "เต๋อชิง" มุ่งหน้าผ่านธารน้ำแข็ง "หมิงหย่ง" เข้าสู่เขตปกครองตนเองทิเบต |
#วันที่ 5 วันนี้ เป็นวันที่คณะเราจะได้ข้ามเข้าสู่เขตทิเบตเป็นวันแรก
ซึ่งหลายคนออกอาการตื่นเต้นได้อย่างชัดเจน โดยผ่านข้อความที่พูดคุยกันทางวิทยุสื่อสารที่มีประจำการกันครบทุกคัน
เส้นทางส่วนใหญ่ของวันนี้จะวิ่งลัดเลาะเทือกเขาสูงชัน ประมาณซ้ายผา ขวาเหว บางช่วงเป็นถนนเลาะเลียบไปตามลำน้ำโขงที่ไหลเชี่ยวกราก ผ่านหมู่บ้านชนเผ่ารูปร่างแปลกตา
การขับรถผ่านเมืองต่างๆในเขตทิเบตนั้น ต้องมีการตรวจเอกสารคนและรถหลายด่าน และเอกสารที่ตรวจนั้นก็เป็นเอกสารเดิมๆ ที่ผ่านการตรวจมาแล้วทั้งสิ้น จึงทำให้การเดินทางของเราต้องหยุดรออยู่นานหลายครั้ง
ก่อนเข้าเมือง “หมากคาง” ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของคืนนี้ คณะเราก็มาหยุดรอที่ด่านตรวจอีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้ และเป็นครั้งเดียวของทริป ที่คณะเราต้องขับรถตามตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไปยังสำนักงานของเค้าเพื่อไปตรวจเอกสาร(เดิมๆ)และครั้งนี้ ใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง
กว่าจะเรียบร้อย ก็ปาไปเกือบ 5 โมงเย็น แต่ก็นับว่า คณะเราทำเวลาได้ดีทีเดียว จึงวางแผนกันเดินชมเมืองกันยกใหญ่
แต่เมื่อขบวนเคลื่อนออกจาก ตม.มาได้แค่ไม่เกินร้อยเมตร เราก็เจอกับขบวนรถติดยาวเหยียดในตัวเมืองเล็กๆ ติดมากมายถึงขั้นเกิดจลาจลย่อมๆ ต่างก็แย่งกันปาด แย่งกันขับสวนเลนส์ เกิดการด่าทอกันยกใหญ่ เพื่อให้ตัวเองได้ไปก่อนใคร ร้อนถึงตำรวจและกองทหารปราบจลาจล ต้องออกมาเดินสวนสนามเพื่อปรามๆกันเลยทีเดียว
ไกด์ของเราพยายามเจรจากับตำรวจอยู่นาน กว่าจะยอมเปิดทางพิเศษให้ คณะเราต้องเสียเวลากับรถติดขนานใหญ่ไปกว่า 2 ชั่วโมง กับระยะทางเพียงแค่ไม่ถึง 1 กิโลเมตรก่อนถึงที่พัก
ส่วนสาเหตุของปัญหารถติดมากมายในวันนี้เนื่องจาก เมื่อหลายวันก่อน เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องกันหลายวัน ทำให้เกิดน้ำเซาะถนน หินถล่มปิดทางหลายจุด จึงจำเป็นต้องปิดถนนถึง 3 วัน และช่วงบ่ายๆก่อนที่คณะเรามาถึง ถนนก็เพิ่งจะเปิดให้ผ่านสัญจรได้ไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง ทำให้รถที่อัดอั้นกันมาจากถนน 3 เส้นทาง พุ่งทะลักทะลวงเข้ามากองกันที่กลางเมืองนี้เมืองเดียว เมืองที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจค้าขายสำคัญ และเป็นเพียงเส้นทางเดียวจากฝั่งตะวันตกและทางตอนใต้ของจีนที่มุ่งหน้าไปสู่เมืองลาซาต่อไป ช่วงนี้ ก็ดันเผอิญขยับขยายเมือง ขุดฝังท่อทำถนนกันขนานใหญ่ ทั้งดินทั้งโคลน เลอะเทะกันไปหมด บางช่วงถนนในระยะสั้นๆวิ่งได้แค่เลนส์เดียว ต้องจอดติด เบี่ยงหลบกันอยู่นานโข
ปัญหาต่อมา หลังจากจอดรถในซอยข้างที่พักเรียบร้อยแล้ว(จอดหน้าโรงแรมไม่ได้ เพราะทำถนน) คณะเราทุกคนจัดแจงแบกกระเป๋าเดินเข้าที่พัก มายืนรอที่ล๊อบบี้ บางคนมีอาการน็อคความสูง ต้องการพักผ่อนอย่างมาก แต่ทางโรงแรมแจ้งมาว่า ห้องพักที่เราจองไว้ก่อนหน้านั้น ได้ให้แขกคนอื่นไปแล้ว เหลือแต่ห้องพักที่เป็นห้องน้ำรวม ทางผมก็ไม่ยอมสิครับ โวยวายกับไกด์เป็นการใหญ่ ถึงขนาดต้องวิ่งหาโรงแรมใหม่กันวุ่นวาย (ที่ทิเบต ลูกค้าชาวต่างชาติที่จะเข้าพักในแต่ละโรงแรม จะเปลี่ยนหรือย้ายสถานที่พักเองโดยพละการไม่ได้ เพราะต้องแจ้งเอกสารการเข้าพักกับทางการ โดยแจ้งชื่อผู้เข้าพัก ชื่อโรงแรม จำนวนคน และจำนวนวันที่พักก่อนเดินทางล่วงหน้าเท่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่พักนั้น ไม่ง่ายเลยทีเดียว) ก็พยายามเข้าใจว่าเกิดเหตุการณ์สุดวิสัย ที่คนเดินทางต้องมาติดอยู่ระหว่างทางถึง 3 วัน แต่ทางโรงแรมก็น่าจะมีวิธีการจัดการที่ดีกว่านี้
เรายืนรอกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ไกด์ก็บอกว่า ได้โรงแรมใหม่แล้ว แต่ต้องเดินต่อไปอีกประมาณครึ่งกิโลตามถนนโคลนเฉอะแฉะที่กำลังขุดฝังท่อทำถนน
เมื่อถึงที่พัก คนขับรถแต่ละคันก็ไปย้ายรถจากที่จอดเดิมเพื่อมาจอดในที่จอดรถของโรงแรมใหม่ ระยะทางไม่ถึง 500 เมตร ติดบนถนนเละๆอีกเกือบ 2 ชั่วโมง คืนนั้น รถคันสุดท้ายของคณะเรา เข้าถึงลานจอดรถเกือบเที่ยงคืน!!!!
เส้นทางส่วนใหญ่ของวันนี้จะวิ่งลัดเลาะเทือกเขาสูงชัน ประมาณซ้ายผา ขวาเหว บางช่วงเป็นถนนเลาะเลียบไปตามลำน้ำโขงที่ไหลเชี่ยวกราก ผ่านหมู่บ้านชนเผ่ารูปร่างแปลกตา
การขับรถผ่านเมืองต่างๆในเขตทิเบตนั้น ต้องมีการตรวจเอกสารคนและรถหลายด่าน และเอกสารที่ตรวจนั้นก็เป็นเอกสารเดิมๆ ที่ผ่านการตรวจมาแล้วทั้งสิ้น จึงทำให้การเดินทางของเราต้องหยุดรออยู่นานหลายครั้ง
ก่อนเข้าเมือง “หมากคาง” ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของคืนนี้ คณะเราก็มาหยุดรอที่ด่านตรวจอีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้ และเป็นครั้งเดียวของทริป ที่คณะเราต้องขับรถตามตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไปยังสำนักงานของเค้าเพื่อไปตรวจเอกสาร(เดิมๆ)และครั้งนี้ ใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง
กว่าจะเรียบร้อย ก็ปาไปเกือบ 5 โมงเย็น แต่ก็นับว่า คณะเราทำเวลาได้ดีทีเดียว จึงวางแผนกันเดินชมเมืองกันยกใหญ่
แต่เมื่อขบวนเคลื่อนออกจาก ตม.มาได้แค่ไม่เกินร้อยเมตร เราก็เจอกับขบวนรถติดยาวเหยียดในตัวเมืองเล็กๆ ติดมากมายถึงขั้นเกิดจลาจลย่อมๆ ต่างก็แย่งกันปาด แย่งกันขับสวนเลนส์ เกิดการด่าทอกันยกใหญ่ เพื่อให้ตัวเองได้ไปก่อนใคร ร้อนถึงตำรวจและกองทหารปราบจลาจล ต้องออกมาเดินสวนสนามเพื่อปรามๆกันเลยทีเดียว
ไกด์ของเราพยายามเจรจากับตำรวจอยู่นาน กว่าจะยอมเปิดทางพิเศษให้ คณะเราต้องเสียเวลากับรถติดขนานใหญ่ไปกว่า 2 ชั่วโมง กับระยะทางเพียงแค่ไม่ถึง 1 กิโลเมตรก่อนถึงที่พัก
ส่วนสาเหตุของปัญหารถติดมากมายในวันนี้เนื่องจาก เมื่อหลายวันก่อน เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องกันหลายวัน ทำให้เกิดน้ำเซาะถนน หินถล่มปิดทางหลายจุด จึงจำเป็นต้องปิดถนนถึง 3 วัน และช่วงบ่ายๆก่อนที่คณะเรามาถึง ถนนก็เพิ่งจะเปิดให้ผ่านสัญจรได้ไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง ทำให้รถที่อัดอั้นกันมาจากถนน 3 เส้นทาง พุ่งทะลักทะลวงเข้ามากองกันที่กลางเมืองนี้เมืองเดียว เมืองที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจค้าขายสำคัญ และเป็นเพียงเส้นทางเดียวจากฝั่งตะวันตกและทางตอนใต้ของจีนที่มุ่งหน้าไปสู่เมืองลาซาต่อไป ช่วงนี้ ก็ดันเผอิญขยับขยายเมือง ขุดฝังท่อทำถนนกันขนานใหญ่ ทั้งดินทั้งโคลน เลอะเทะกันไปหมด บางช่วงถนนในระยะสั้นๆวิ่งได้แค่เลนส์เดียว ต้องจอดติด เบี่ยงหลบกันอยู่นานโข
ปัญหาต่อมา หลังจากจอดรถในซอยข้างที่พักเรียบร้อยแล้ว(จอดหน้าโรงแรมไม่ได้ เพราะทำถนน) คณะเราทุกคนจัดแจงแบกกระเป๋าเดินเข้าที่พัก มายืนรอที่ล๊อบบี้ บางคนมีอาการน็อคความสูง ต้องการพักผ่อนอย่างมาก แต่ทางโรงแรมแจ้งมาว่า ห้องพักที่เราจองไว้ก่อนหน้านั้น ได้ให้แขกคนอื่นไปแล้ว เหลือแต่ห้องพักที่เป็นห้องน้ำรวม ทางผมก็ไม่ยอมสิครับ โวยวายกับไกด์เป็นการใหญ่ ถึงขนาดต้องวิ่งหาโรงแรมใหม่กันวุ่นวาย (ที่ทิเบต ลูกค้าชาวต่างชาติที่จะเข้าพักในแต่ละโรงแรม จะเปลี่ยนหรือย้ายสถานที่พักเองโดยพละการไม่ได้ เพราะต้องแจ้งเอกสารการเข้าพักกับทางการ โดยแจ้งชื่อผู้เข้าพัก ชื่อโรงแรม จำนวนคน และจำนวนวันที่พักก่อนเดินทางล่วงหน้าเท่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่พักนั้น ไม่ง่ายเลยทีเดียว) ก็พยายามเข้าใจว่าเกิดเหตุการณ์สุดวิสัย ที่คนเดินทางต้องมาติดอยู่ระหว่างทางถึง 3 วัน แต่ทางโรงแรมก็น่าจะมีวิธีการจัดการที่ดีกว่านี้
เรายืนรอกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ไกด์ก็บอกว่า ได้โรงแรมใหม่แล้ว แต่ต้องเดินต่อไปอีกประมาณครึ่งกิโลตามถนนโคลนเฉอะแฉะที่กำลังขุดฝังท่อทำถนน
เมื่อถึงที่พัก คนขับรถแต่ละคันก็ไปย้ายรถจากที่จอดเดิมเพื่อมาจอดในที่จอดรถของโรงแรมใหม่ ระยะทางไม่ถึง 500 เมตร ติดบนถนนเละๆอีกเกือบ 2 ชั่วโมง คืนนั้น รถคันสุดท้ายของคณะเรา เข้าถึงลานจอดรถเกือบเที่ยงคืน!!!!
ลำน้ำโขง ก่อนถึงชายแดนทิเบตประมาณ 50 km. |
ประตูเข้าสู่เขต "ทิเบต" ที่เมือง Salt |
เหมืองเกลือทิเบต ที่โด่งดังไปทั่วโลก |
#วันที่ 6
จากเหตุการณ์เมื่อคืนได้สรุปกันว่า วันนี้ คณะเราจะออกกันแต่เช้ามืด แล้วค่อยไปหามื้อเช้าทานกันระหว่างทาง
เสียงแตรรถดังลั่น กระชากร่างลุกมาตอนตี 5 เมื่อเปิดม่านมองผ่านกระจกหน้าต่างจากที่พักชั้น 3 เห็นภาพรถติดยาวเหยียด และนั่นคือเส้นทางที่เราต้องเดินทางไปต่อในวันนี้ มันติดหนึบ!!!! คณะเราเลยต้องลงมาทานอาหารเช้ากันก่อน แล้วจึงเคลื่อนขบวนกันตอน 7 โมงเช้า
ในช่วงที่เราออกจากโรงแรม ถนนว่างมาก ไม่มีรถติดเลย ต่างก็ดีใจกันยกใหญ่ ลิงโลดกันได้ไม่ถึง 10 นาที พวกเราก็มาทันท้ายขบวนใหญ่ คราวนี้ ติดกันไปเลย 2 ชั่วโมง เปิดหนังให้ชาวคณะดูในรถจบไปเลย 1 เรื่องกว่าๆ
ผ่านจุดนี้มาได้ เราก็ขับไปตามถนน2เลนส์สูงชัน คดเคี้ยวพาดผ่านภูเขาที่มีผืนหญ้านวลน้อยเขียวชอุ่มปกคลุมไปทั้งยอดเขา มีฝูงแพะที่มีขนขาวฟูยังกะแกะ กระจายหากินไปทั่วขุนเขา และก็ยังอุตส่าห์มีด่านตรวจเอกสารท่ามกลางบรรยากาศอันเคลิบเคลิ้ม!!!!!! แล้วเค้าก็เอาพาสปอร์ตของเราทุกคนไปวางแบบนพื้นถนนเพื่อถ่ายภาพโดยโทรศัพท์มือถือ!!!!!
หลังจากผ่านจุดนั้นมาได้ซักพัก คณะเราก็วิ่งมาทันท้ายขบวนใหญ่อีกครั้ง และครั้งนี้ เป็นครั้งที่ติดกันยาวเหยียดยันถึงที่เกิดเหตุใหญ่โต
ภูมิประเทศช่วงนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นผาหินและโตรกน้ำเชี่ยวกราก เป็นจุดที่หินผาถล่มลงมาหลายจุด แม้ขณะที่รถเราติดอยู่ ก็ยังเห็นเศษหินหล่นมากระแทกรถคันหน้าคาตา ช่างเป็นช่วงที่ระทึกใจอะไรเยี่ยงนี้
เกือบหกโมงเย็นแล้ว พวกเราขับกันมายังไม่ถึงร้อยกิโล จากระยะทางที่เราต้องวิ่งในวันนี้กว่า 360 กิโล และที่สำคัญ พวกเรายังไม่ได้แวะทานข้าวกลางวันกันเลย พอผ่านมาถึงเมืองข้างหน้า ทุกคันจอดรถเพื่อจะทานข้าว เผอิญมีชาวเมืองมาคุยกับไกด์ของเราว่า ถ้าไม่รีบเดินทางให้ถึงเมืองข้างหน้าก่อน 2 ทุ่ม ท่านจะต้องนอนค้างอยู่ที่เมืองหน้าด่านอีก 1 คืน เพราะเค้ามีกฎต้องปิดถนน ห้ามรถวิ่งออกจากด่านในช่วงเวลานั้น เอาล่ะสิ!! ไอ้เรารีบมองดูเวลา คำนวนกับระยะทางที่เค้าบอกว่าเหลืออีกประมาณ 100 กิโลจะถึงด่าน ถ้าวิ่งบนทางเขาแบบไม่มีรถติดเหมือนเมื่อเช้า เฉลี่ยแล้วน่าจะฉิวเฉียด ทางคณะโหวตกันแล้วว่าไปต่อ คราวนี้แหล่ะ ตามข้าพเจ้ามาโลด!!!!!
คณะเรามาถึงด่านเวลาทุ่มห้าสิบ โชคดีที่ไม่มีรถสะสมบนเขาแบบเมื่อเช้า และ ss ต่อไป เส้นทางที่เหลือ ร้อยกว่ากิโล วิ่งบนถนนโบราณที่สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1951 ต้องไต่เขาที่เกือบจะมืด ชัน โค้งหักศอก พร้อมหลุมดักกินรถยั้วเยี้ยไปหมด ผ่านความสูงที่ 4,700 MSL แถมช่วง 50 กิโลสุดท้ายดันมาทำถนนบนเขาอีก ขับมาต่อท้ายขบวนใหญ่โดยพร้อมเพรียง ค่อยๆจูงๆกันมา สะสมแออัดกันที่นี่อีกคืน
คืนนี้ พักที่เมือง “บาซู” ทานอาหารกลางวันกันตอน 5 ทุ่ม
จากเหตุการณ์เมื่อคืนได้สรุปกันว่า วันนี้ คณะเราจะออกกันแต่เช้ามืด แล้วค่อยไปหามื้อเช้าทานกันระหว่างทาง
เสียงแตรรถดังลั่น กระชากร่างลุกมาตอนตี 5 เมื่อเปิดม่านมองผ่านกระจกหน้าต่างจากที่พักชั้น 3 เห็นภาพรถติดยาวเหยียด และนั่นคือเส้นทางที่เราต้องเดินทางไปต่อในวันนี้ มันติดหนึบ!!!! คณะเราเลยต้องลงมาทานอาหารเช้ากันก่อน แล้วจึงเคลื่อนขบวนกันตอน 7 โมงเช้า
ในช่วงที่เราออกจากโรงแรม ถนนว่างมาก ไม่มีรถติดเลย ต่างก็ดีใจกันยกใหญ่ ลิงโลดกันได้ไม่ถึง 10 นาที พวกเราก็มาทันท้ายขบวนใหญ่ คราวนี้ ติดกันไปเลย 2 ชั่วโมง เปิดหนังให้ชาวคณะดูในรถจบไปเลย 1 เรื่องกว่าๆ
ผ่านจุดนี้มาได้ เราก็ขับไปตามถนน2เลนส์สูงชัน คดเคี้ยวพาดผ่านภูเขาที่มีผืนหญ้านวลน้อยเขียวชอุ่มปกคลุมไปทั้งยอดเขา มีฝูงแพะที่มีขนขาวฟูยังกะแกะ กระจายหากินไปทั่วขุนเขา และก็ยังอุตส่าห์มีด่านตรวจเอกสารท่ามกลางบรรยากาศอันเคลิบเคลิ้ม!!!!!! แล้วเค้าก็เอาพาสปอร์ตของเราทุกคนไปวางแบบนพื้นถนนเพื่อถ่ายภาพโดยโทรศัพท์มือถือ!!!!!
หลังจากผ่านจุดนั้นมาได้ซักพัก คณะเราก็วิ่งมาทันท้ายขบวนใหญ่อีกครั้ง และครั้งนี้ เป็นครั้งที่ติดกันยาวเหยียดยันถึงที่เกิดเหตุใหญ่โต
ภูมิประเทศช่วงนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นผาหินและโตรกน้ำเชี่ยวกราก เป็นจุดที่หินผาถล่มลงมาหลายจุด แม้ขณะที่รถเราติดอยู่ ก็ยังเห็นเศษหินหล่นมากระแทกรถคันหน้าคาตา ช่างเป็นช่วงที่ระทึกใจอะไรเยี่ยงนี้
เกือบหกโมงเย็นแล้ว พวกเราขับกันมายังไม่ถึงร้อยกิโล จากระยะทางที่เราต้องวิ่งในวันนี้กว่า 360 กิโล และที่สำคัญ พวกเรายังไม่ได้แวะทานข้าวกลางวันกันเลย พอผ่านมาถึงเมืองข้างหน้า ทุกคันจอดรถเพื่อจะทานข้าว เผอิญมีชาวเมืองมาคุยกับไกด์ของเราว่า ถ้าไม่รีบเดินทางให้ถึงเมืองข้างหน้าก่อน 2 ทุ่ม ท่านจะต้องนอนค้างอยู่ที่เมืองหน้าด่านอีก 1 คืน เพราะเค้ามีกฎต้องปิดถนน ห้ามรถวิ่งออกจากด่านในช่วงเวลานั้น เอาล่ะสิ!! ไอ้เรารีบมองดูเวลา คำนวนกับระยะทางที่เค้าบอกว่าเหลืออีกประมาณ 100 กิโลจะถึงด่าน ถ้าวิ่งบนทางเขาแบบไม่มีรถติดเหมือนเมื่อเช้า เฉลี่ยแล้วน่าจะฉิวเฉียด ทางคณะโหวตกันแล้วว่าไปต่อ คราวนี้แหล่ะ ตามข้าพเจ้ามาโลด!!!!!
คณะเรามาถึงด่านเวลาทุ่มห้าสิบ โชคดีที่ไม่มีรถสะสมบนเขาแบบเมื่อเช้า และ ss ต่อไป เส้นทางที่เหลือ ร้อยกว่ากิโล วิ่งบนถนนโบราณที่สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1951 ต้องไต่เขาที่เกือบจะมืด ชัน โค้งหักศอก พร้อมหลุมดักกินรถยั้วเยี้ยไปหมด ผ่านความสูงที่ 4,700 MSL แถมช่วง 50 กิโลสุดท้ายดันมาทำถนนบนเขาอีก ขับมาต่อท้ายขบวนใหญ่โดยพร้อมเพรียง ค่อยๆจูงๆกันมา สะสมแออัดกันที่นี่อีกคืน
คืนนี้ พักที่เมือง “บาซู” ทานอาหารกลางวันกันตอน 5 ทุ่ม
3 ทุ่ม เวลาในเขตทิเบต |
#วันที่ 7
เริ่มออกเดินทางกันตอนเจ็ดโมงครึ่ง พร้อมสายฝนเปาะแปะ และเป็นอีกหนึ่งวันที่เราขับรถกันร่วม 14 ชั่วโมง บนเส้นทางเลาะเขาผ่านเหวและลำน้ำสีโคลนเชี่ยวแรง สลับการสร้างซ่อมถนน บางข่วงต้องเสียเวลาจอดรอหลีกรถและหลบหลีกหินผาที่ล่วงเกลื่อนถนน แต่ทิวทัศน์ 2 ข้างทางในวันนี้ช่างน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก
ช่วงอันตรายที่สุดของวันนี้เป็นช่วงค่ำที่ขับลงเขาคดเคี้ยวสูงชัน เป็นช่วงก่อสร้างถนนที่ปิดการจราจรสลับซ้าย-ขวา การจัดการในเรื่องการหยุดและปล่อยรถในแต่ละเลนส์นั้นถือว่าแย่มาก จึงทำให้เกิดการแก่งแย่งกันไป ซึ่งยิ่งทำให้การจาจรยิ่งเลวร้ายลงไปอีก ประกอบกับไม่มีแสงไฟหรือป้ายเตือนที่ชัดเจน กว่าคณะเราจะหลุดเข้ามาถึงเมือง “ไบยี่” ซึ่งเป็นจุดหมายของเราในวันนี้ก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่า
เริ่มออกเดินทางกันตอนเจ็ดโมงครึ่ง พร้อมสายฝนเปาะแปะ และเป็นอีกหนึ่งวันที่เราขับรถกันร่วม 14 ชั่วโมง บนเส้นทางเลาะเขาผ่านเหวและลำน้ำสีโคลนเชี่ยวแรง สลับการสร้างซ่อมถนน บางข่วงต้องเสียเวลาจอดรอหลีกรถและหลบหลีกหินผาที่ล่วงเกลื่อนถนน แต่ทิวทัศน์ 2 ข้างทางในวันนี้ช่างน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก
ช่วงอันตรายที่สุดของวันนี้เป็นช่วงค่ำที่ขับลงเขาคดเคี้ยวสูงชัน เป็นช่วงก่อสร้างถนนที่ปิดการจราจรสลับซ้าย-ขวา การจัดการในเรื่องการหยุดและปล่อยรถในแต่ละเลนส์นั้นถือว่าแย่มาก จึงทำให้เกิดการแก่งแย่งกันไป ซึ่งยิ่งทำให้การจาจรยิ่งเลวร้ายลงไปอีก ประกอบกับไม่มีแสงไฟหรือป้ายเตือนที่ชัดเจน กว่าคณะเราจะหลุดเข้ามาถึงเมือง “ไบยี่” ซึ่งเป็นจุดหมายของเราในวันนี้ก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่า
กระโจมชาวทิเบต เพื่อจัดงานรื่นเริง ฉลองปิดภาคเรียนและต้อนรับฤดูร้อน |
#วันที่ 8 ของการเดินทาง
เป็นวันที่เราๆตื่นเต้นกันมาก เพราะวันนี้
พวกเราจะได้สัมผัส “กรุงลาซา” เมืองหลวงของทิเบตกันแล้ว
ไกด์บอกว่า วันนี้เราจะขับรถกันแค่ 360 km. และวิ่งบนทางด่วน 4 เลนส์ที่เพิ่งจะสร้างเสร็จได้ไม่ถึง 6 เดือน แต่เราจะวิ่งกันแค่ 160 km.!!!! ได้ฟังแค่นี้น้ำหูน้ำตาแทบจะแตกแล้ว เพราะสี่ห้าวันก่อนหน้านี้ เราเจอกันแต่เส้นทางครึ่งค่อนเลนส์มาตลอด
ออกจากเมือง “ไปยี่” ช่วงสายๆ เพราะไกด์ต้องไปยื่นเอกสารผ่านเมืองตอนเช้า จากนั้นเราก็ขึ้นทางด่วนกันยาวๆประมาณ 70 km. ถนนเรียบกริป ทิวทัศน์สวยงามแปลกตา ช่วงนี้ฝนตกค่อนข้างหนัก เราจึงทำความเร็วกันได้ไม่มากนัก สำหรับกฎหมายบนทางด่วนที่นี่ก็คล้ายๆกับบ้านเรา คือให้วิ่งได้ไม่เกิน 120 km./hr แต่ที่สำคัญ ทางด่วนที่นี่เค้าไม่เก็บค่าธรรมเนียม ด้วยเหตุผลที่ว่า เค้าได้รวมภาษีไว้กันราคาน้ำมันในเขตเมืองแถบนี้ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ราคาน้ำมันจึงแพงกว่าที่อื่นๆอีกลิตรละเกือบ 1 หยวน (1 หยวน = 5.25 บาท ราคาน้ำมันดีเซลในแถบเมืองนี้ลิตรละ 6.7-6.9 หยวน/ลิตร) และไม่อนุญาตให้รถมอเตอร์ไซค์และรถบรรทุกขึ้นวิ่งบนทางด่วน นับว่าสะดวกสบายกันไปในระดับหนึ่ง แต่สุดท้าย คณะเราก็มาเสียเวลากับช่วงถนนที่กำลังซ่อมสร้าง การรอหลบหลีกรถ และการตรวจเอกสารผ่านเมืองอีกเช่นเดิม
ที่น่าแปลกใจที่สุดคือ การเติมน้ำมันในเขตลาซา ต้องใช้พาสปอร์ตด้วย!!!
ระหว่างทาง เราแวะเที่ยวเส้นทางขนชาเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 3,000 ปี เป็นเส้นทางระหว่างเมืองจีนในเขตมณฑลยูนนานยาวไปถึงประเทศทิเบต กรุงลาซา เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางธรรมชาติเล็กๆที่พาดไปตามภูเขาหินสูงชันลัดเลาะไปตามลำน้ำ ทุ่งหญ้าและปุยหิมะตลอดทาง ไกด์ได้เล่าต่อไปว่า ในการเดินทางของแต่ละขบวนคาราวานนั้น ใช้เวลากันเกือบ 4 เดือนเลยทีเดียว
วันนี้ คณะเราได้ขับผ่านถนนที่มีความสูงถึง 5,013 MSL ซื่งหลายๆคนในคณะถึงกับออกอาการซวนเซ เดินเป๋ในความสูง ได้ใช้อ๊อกซิเจนกระป๋องที่เตรียมกันมาแบบทั่วถึง
กรุงลาซา ตั้งอยู่ที่ความสูงเฉลี่ยเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 3,700 เมตร ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและแม่น้ำกว้างชื่อเดียวกับเมืองหลวง ไหลผ่านกลางตัวเมือง ระหว่างทาง เรามองเห็น “พระราชวังโปตาลา” ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาเล็กๆในฝั่งเมืองเก่าได้อย่างชัดเจน ความตื่นเต้นของคณะเรายิ่งออกรสเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เวลาประมาณ 6 โมงเย็น เลี้ยวเข้าโรงแรม Tibet Hotel ซึ่งเป็นที่พักของคณะเราในคืนนี้และอีก 2 คืนต่อไป โรงแรมนี้เป็นโรงแรมเกรด 4 ดาวที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของ “กรุงลาซา”
ไกด์บอกว่า วันนี้เราจะขับรถกันแค่ 360 km. และวิ่งบนทางด่วน 4 เลนส์ที่เพิ่งจะสร้างเสร็จได้ไม่ถึง 6 เดือน แต่เราจะวิ่งกันแค่ 160 km.!!!! ได้ฟังแค่นี้น้ำหูน้ำตาแทบจะแตกแล้ว เพราะสี่ห้าวันก่อนหน้านี้ เราเจอกันแต่เส้นทางครึ่งค่อนเลนส์มาตลอด
ออกจากเมือง “ไปยี่” ช่วงสายๆ เพราะไกด์ต้องไปยื่นเอกสารผ่านเมืองตอนเช้า จากนั้นเราก็ขึ้นทางด่วนกันยาวๆประมาณ 70 km. ถนนเรียบกริป ทิวทัศน์สวยงามแปลกตา ช่วงนี้ฝนตกค่อนข้างหนัก เราจึงทำความเร็วกันได้ไม่มากนัก สำหรับกฎหมายบนทางด่วนที่นี่ก็คล้ายๆกับบ้านเรา คือให้วิ่งได้ไม่เกิน 120 km./hr แต่ที่สำคัญ ทางด่วนที่นี่เค้าไม่เก็บค่าธรรมเนียม ด้วยเหตุผลที่ว่า เค้าได้รวมภาษีไว้กันราคาน้ำมันในเขตเมืองแถบนี้ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ราคาน้ำมันจึงแพงกว่าที่อื่นๆอีกลิตรละเกือบ 1 หยวน (1 หยวน = 5.25 บาท ราคาน้ำมันดีเซลในแถบเมืองนี้ลิตรละ 6.7-6.9 หยวน/ลิตร) และไม่อนุญาตให้รถมอเตอร์ไซค์และรถบรรทุกขึ้นวิ่งบนทางด่วน นับว่าสะดวกสบายกันไปในระดับหนึ่ง แต่สุดท้าย คณะเราก็มาเสียเวลากับช่วงถนนที่กำลังซ่อมสร้าง การรอหลบหลีกรถ และการตรวจเอกสารผ่านเมืองอีกเช่นเดิม
ที่น่าแปลกใจที่สุดคือ การเติมน้ำมันในเขตลาซา ต้องใช้พาสปอร์ตด้วย!!!
ระหว่างทาง เราแวะเที่ยวเส้นทางขนชาเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 3,000 ปี เป็นเส้นทางระหว่างเมืองจีนในเขตมณฑลยูนนานยาวไปถึงประเทศทิเบต กรุงลาซา เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางธรรมชาติเล็กๆที่พาดไปตามภูเขาหินสูงชันลัดเลาะไปตามลำน้ำ ทุ่งหญ้าและปุยหิมะตลอดทาง ไกด์ได้เล่าต่อไปว่า ในการเดินทางของแต่ละขบวนคาราวานนั้น ใช้เวลากันเกือบ 4 เดือนเลยทีเดียว
วันนี้ คณะเราได้ขับผ่านถนนที่มีความสูงถึง 5,013 MSL ซื่งหลายๆคนในคณะถึงกับออกอาการซวนเซ เดินเป๋ในความสูง ได้ใช้อ๊อกซิเจนกระป๋องที่เตรียมกันมาแบบทั่วถึง
กรุงลาซา ตั้งอยู่ที่ความสูงเฉลี่ยเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 3,700 เมตร ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและแม่น้ำกว้างชื่อเดียวกับเมืองหลวง ไหลผ่านกลางตัวเมือง ระหว่างทาง เรามองเห็น “พระราชวังโปตาลา” ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาเล็กๆในฝั่งเมืองเก่าได้อย่างชัดเจน ความตื่นเต้นของคณะเรายิ่งออกรสเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เวลาประมาณ 6 โมงเย็น เลี้ยวเข้าโรงแรม Tibet Hotel ซึ่งเป็นที่พักของคณะเราในคืนนี้และอีก 2 คืนต่อไป โรงแรมนี้เป็นโรงแรมเกรด 4 ดาวที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของ “กรุงลาซา”
เพิ่มคำอธิบายภาพ |
เส้นทางขนชาโบราญ อายุกว่าสามพันปี |
จุดชมวิวจุดหนึ่งระหว่างเส้นทาง ที่ความสูงกว่า 5,030 MSL |
#วันที่10 วันสิ้นทรัพย์ กลางกรุงลาซา
วันนี้เป็นวัน freeday freecar พักผ่อนอิสระทั้งวัน จะไปเที่ยวไหนก็ได้ตามใจชอบ แต่ต้องไปกับไกด์ และต้องห้ามขับรถไป
สรุปแล้ว เราก็ไปด้วยกันอยู่ดี
ช่วงเช้า มีเรื่องต้องจัดการกับรถ 2 คันนิดหน่อย จึงนัดหมายให้ไกด์ทิเบตพาไปที่อู่ที่พอรู้จัก ฝีมือช่างที่นี่เก่งจริงๆ แม้จะเป็นรถยี่ห้อเดียวกันแท้ๆ แต่ไส้ในไม่เหมือนกันซักอย่าง แต่ช่างเค้าก็จัดการให้ใช้งานได้จริง
ช่วงบ่าย เรานัดหมายกันไป downtown กลางเมืองเก่าลาซา ซึ่งเป็นย่านธุรกิจและแหล่งขายของมากมาย เหมือนๆกับแถวพาหุรัด สำเพ็งบ้านเรา จุดหมายของเราจริงๆแล้วคือ ตลาดบากอ แหล่งรวมของเก่า ใหม่ ของประดับ เสื้อผ้าหน้าผม เรียกได้ว่า เป็นแหล่งรวมของสไตลด์ทิเบตที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ ประมาณก็ สวนจตุจักรบ้านเรา
ขากลับโรงแรม ต่างแบกหิ้วของกันมาคนละมากมาย เราตัดสินใจใช้บริการรถแท๊กซีเหมือนขามา แต่ต้องผิดหวังปนแปลกใจ เพราะแท็กซี่ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนในย่านจอแจเช่นนี้ เค้าแปลงพฤติกรรมเป็นรถร่วมบริการไปโดยอัติโนมัติคือ ผู้โดยสารคนไหนเรียกจ้างให้ไปส่งเค้าคนแรก แท็กซี่คันนั้น จะกลายเป็นรถประจำทางในเส้นทางนั้นไปในทันที เมื่อมีผู้โดยสารคนอื่นเรียกอีก คนขับก็จะจอดถาม ถ้าไปในเส้นทางเดียวกันหรือใกล้เคียงก็โดดขึ้นรถมาเลย จนรอให้เต็มคันครบ 4 คนจึงเหยียบมิด!!!!
พฤติกรรมแบบนี้ชาวไทยคงได้สัมผัสกันมาบ้างแล้ว
เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ตัดสินใจโดยสารรถประจำทาง แต่เรื่องราวกลับเป็นที่น่าประทับใจเป็นที่สุด ไม่น่าเชื่อว่า ความมีวินัย ความยิ้มแย้มแจ่มใส และความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี จะมีให้เห็นในเมืองนี้
รถเมล์ที่นี่ไม่ติดแอร์ เพราะอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี แต่เป็นรถแบบปรับอากาศแบบบ้านเราที่สั่งมาจากจีน ประตูเปิดปิดอัติโนมัติ ขึ้นทางหน้ารถ ผู้โดยสารหยอดเงินใส่ตู้ด้วยตัวเองในกล่องเล็กๆข้างคนขับ อัตราค่าตั๋วคนละ 1 หยวน(ตลอดสาย) เมื่อถึงที่หมาย กดกริ่ง ลงทางประตูกลาง (ระบบนี้บ้านเราเคยนำมาใช้แล้ว มันช่างน่าขำสิ้นดีที่คนไทยใช้ไม่เป็น)
ระหว่างทางที่พวกเราโดยสารอยู่บนรถนั้น มีทั้งเสียงพูดคุยที่พยามสื่อสารกันระหว่างไทย ทิเบต จีน กันตลอดทาง มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คำสนทนาแบบง่ายๆกับคนพื้นเมืองที่เราไม่รู้จัก แต่สัมผัสได้อย่างเดียวกันคือความเป็นมิตรมีไมตรี
วันนี้เป็นวัน freeday freecar พักผ่อนอิสระทั้งวัน จะไปเที่ยวไหนก็ได้ตามใจชอบ แต่ต้องไปกับไกด์ และต้องห้ามขับรถไป
สรุปแล้ว เราก็ไปด้วยกันอยู่ดี
ช่วงเช้า มีเรื่องต้องจัดการกับรถ 2 คันนิดหน่อย จึงนัดหมายให้ไกด์ทิเบตพาไปที่อู่ที่พอรู้จัก ฝีมือช่างที่นี่เก่งจริงๆ แม้จะเป็นรถยี่ห้อเดียวกันแท้ๆ แต่ไส้ในไม่เหมือนกันซักอย่าง แต่ช่างเค้าก็จัดการให้ใช้งานได้จริง
ช่วงบ่าย เรานัดหมายกันไป downtown กลางเมืองเก่าลาซา ซึ่งเป็นย่านธุรกิจและแหล่งขายของมากมาย เหมือนๆกับแถวพาหุรัด สำเพ็งบ้านเรา จุดหมายของเราจริงๆแล้วคือ ตลาดบากอ แหล่งรวมของเก่า ใหม่ ของประดับ เสื้อผ้าหน้าผม เรียกได้ว่า เป็นแหล่งรวมของสไตลด์ทิเบตที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ ประมาณก็ สวนจตุจักรบ้านเรา
ขากลับโรงแรม ต่างแบกหิ้วของกันมาคนละมากมาย เราตัดสินใจใช้บริการรถแท๊กซีเหมือนขามา แต่ต้องผิดหวังปนแปลกใจ เพราะแท็กซี่ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนในย่านจอแจเช่นนี้ เค้าแปลงพฤติกรรมเป็นรถร่วมบริการไปโดยอัติโนมัติคือ ผู้โดยสารคนไหนเรียกจ้างให้ไปส่งเค้าคนแรก แท็กซี่คันนั้น จะกลายเป็นรถประจำทางในเส้นทางนั้นไปในทันที เมื่อมีผู้โดยสารคนอื่นเรียกอีก คนขับก็จะจอดถาม ถ้าไปในเส้นทางเดียวกันหรือใกล้เคียงก็โดดขึ้นรถมาเลย จนรอให้เต็มคันครบ 4 คนจึงเหยียบมิด!!!!
พฤติกรรมแบบนี้ชาวไทยคงได้สัมผัสกันมาบ้างแล้ว
เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ตัดสินใจโดยสารรถประจำทาง แต่เรื่องราวกลับเป็นที่น่าประทับใจเป็นที่สุด ไม่น่าเชื่อว่า ความมีวินัย ความยิ้มแย้มแจ่มใส และความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี จะมีให้เห็นในเมืองนี้
รถเมล์ที่นี่ไม่ติดแอร์ เพราะอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี แต่เป็นรถแบบปรับอากาศแบบบ้านเราที่สั่งมาจากจีน ประตูเปิดปิดอัติโนมัติ ขึ้นทางหน้ารถ ผู้โดยสารหยอดเงินใส่ตู้ด้วยตัวเองในกล่องเล็กๆข้างคนขับ อัตราค่าตั๋วคนละ 1 หยวน(ตลอดสาย) เมื่อถึงที่หมาย กดกริ่ง ลงทางประตูกลาง (ระบบนี้บ้านเราเคยนำมาใช้แล้ว มันช่างน่าขำสิ้นดีที่คนไทยใช้ไม่เป็น)
ระหว่างทางที่พวกเราโดยสารอยู่บนรถนั้น มีทั้งเสียงพูดคุยที่พยามสื่อสารกันระหว่างไทย ทิเบต จีน กันตลอดทาง มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คำสนทนาแบบง่ายๆกับคนพื้นเมืองที่เราไม่รู้จัก แต่สัมผัสได้อย่างเดียวกันคือความเป็นมิตรมีไมตรี
เด็กน้อยพื้นเมือง ชาวกรุงลาซา |
#วันที่ 11 ลาซา-กางเซ Lhasa-Gyangze
เช้านี้ คณะของเราขับฝ่าสายฝนบางๆไปเกือบตลอดระยะทางกว่า 260 km. บนถนนสวนทาง 2 เลนส์เล็กๆที่ลัดเลาะไปตามแนวแม่น้ำลาซาที่กว้างใหญ่ น้ำไหลเชี่ยวแรง สลับกับทางถนนที่ไต่ระดับขึ้นเขาสูงชัน ผ่านโค้งหักศอกไปมามากมาย จนกระทั่งถึงทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ Holy Lake ทะเลสาบสีน้ำเงิน เทอคอยซ์ ที่รายล้อมไปด้วยแนวขุนเขาซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนสลับกับสีเหลืองเข้มของดอกมัสตาร์ดที่สวยงาม ราวกับภาพวาดอันยิ่งใหญ่ของจิตรกรเอกชื่อก้องโลก
ช่วงบ่ายๆ คณะเราเดินทางมาถึงเมือง Gyangze อดีตศูนย์กลางการค้าขายใหญ่โตเมื่อครั้งอังกฤษเข้ามาปกครอง เมืองที่รอดพ้นจากการทำลายล้างและรุกรานจากรัฐบาลจีนในช่วงยึดครองทิเบต เมืองที่ห่างจากชายแดนภูฏานเพียงแค่ 60 km. เมืองที่พ่อค้าแม่ขายจากเนปาล อินเดีย รัฐสิกขิม ภูฏานและจีนมาชุมนุมซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอย่างเนืองแน่น เมืองที่มีการผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมอันหลากหลายมารวมไว้ด้วยกัน เมืองนี้จึงมีร่องรอยทางประวัติศาตร์ที่สวยงามและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
Palcho Monastery วัดลามะเก่าแก่กว่า 800 ปี ที่ยังคงเก็บเรื่องราวในอดีตไว้ได้อย่างสมบูรณ์ มีตัวอาคารจัตุรัสที่มีห้องโถงกลางสูงใหญ่สำหรับทำวัตร ส่วนปีกซ้ายและขวารวมทั้งชั้น 2 จะเป็นห้องพระประธานเก่าแก่ขนาดสูงใหญ่ที่ทำจากไม้แกะสลักทำสีและประดับประดาด้วยโลหะและหินมีค่าต่างๆ มีชั้นและตู้เก็บพระคัมภีร์โบราญและวัตถุบูชาต่างๆอีกมากมาย บริเวณด้านหลัง เป็นทางเดินมืดและแคบ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่แนวศิลปะแตกต่างกับบ้านเรา แต่การเล่าเรื่องตามความเชื่อทางพุทธศาสนาคล้ายเคียงกันเป็นอย่างมาก
จุดเด่นของวัดนี้ เมื่อมองมาจากระยะไกล เราจะเห็นแนวกำแพงที่สร้างพาดขึ้นไปตามแนวเขา มองดูคล้ายกับกำแพงเมืองจีนขนาดย่อม โอบล้อมปกป้องวัดที่มีพื้นที่ขนาดประมาณหนึ่งสนามฟุตบอลไว้ได้อย่างปลอดภัยจนมาถึงทุกวันนี้
และที่สะดุดตาที่สุดของเมืองนี้คือ สำนักงานว่าการประจำเมือง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาเล็กๆใจกลางเมือง ถูกสร้างขึ้นมาประมาณกลางศตวรรษที่ 19 นับว่าเป็น Landmark ที่เด่นตระหง่าน สวยงามแปลกตามากทีเดียว
เช้านี้ คณะของเราขับฝ่าสายฝนบางๆไปเกือบตลอดระยะทางกว่า 260 km. บนถนนสวนทาง 2 เลนส์เล็กๆที่ลัดเลาะไปตามแนวแม่น้ำลาซาที่กว้างใหญ่ น้ำไหลเชี่ยวแรง สลับกับทางถนนที่ไต่ระดับขึ้นเขาสูงชัน ผ่านโค้งหักศอกไปมามากมาย จนกระทั่งถึงทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ Holy Lake ทะเลสาบสีน้ำเงิน เทอคอยซ์ ที่รายล้อมไปด้วยแนวขุนเขาซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนสลับกับสีเหลืองเข้มของดอกมัสตาร์ดที่สวยงาม ราวกับภาพวาดอันยิ่งใหญ่ของจิตรกรเอกชื่อก้องโลก
ช่วงบ่ายๆ คณะเราเดินทางมาถึงเมือง Gyangze อดีตศูนย์กลางการค้าขายใหญ่โตเมื่อครั้งอังกฤษเข้ามาปกครอง เมืองที่รอดพ้นจากการทำลายล้างและรุกรานจากรัฐบาลจีนในช่วงยึดครองทิเบต เมืองที่ห่างจากชายแดนภูฏานเพียงแค่ 60 km. เมืองที่พ่อค้าแม่ขายจากเนปาล อินเดีย รัฐสิกขิม ภูฏานและจีนมาชุมนุมซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอย่างเนืองแน่น เมืองที่มีการผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมอันหลากหลายมารวมไว้ด้วยกัน เมืองนี้จึงมีร่องรอยทางประวัติศาตร์ที่สวยงามและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
Palcho Monastery วัดลามะเก่าแก่กว่า 800 ปี ที่ยังคงเก็บเรื่องราวในอดีตไว้ได้อย่างสมบูรณ์ มีตัวอาคารจัตุรัสที่มีห้องโถงกลางสูงใหญ่สำหรับทำวัตร ส่วนปีกซ้ายและขวารวมทั้งชั้น 2 จะเป็นห้องพระประธานเก่าแก่ขนาดสูงใหญ่ที่ทำจากไม้แกะสลักทำสีและประดับประดาด้วยโลหะและหินมีค่าต่างๆ มีชั้นและตู้เก็บพระคัมภีร์โบราญและวัตถุบูชาต่างๆอีกมากมาย บริเวณด้านหลัง เป็นทางเดินมืดและแคบ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่แนวศิลปะแตกต่างกับบ้านเรา แต่การเล่าเรื่องตามความเชื่อทางพุทธศาสนาคล้ายเคียงกันเป็นอย่างมาก
จุดเด่นของวัดนี้ เมื่อมองมาจากระยะไกล เราจะเห็นแนวกำแพงที่สร้างพาดขึ้นไปตามแนวเขา มองดูคล้ายกับกำแพงเมืองจีนขนาดย่อม โอบล้อมปกป้องวัดที่มีพื้นที่ขนาดประมาณหนึ่งสนามฟุตบอลไว้ได้อย่างปลอดภัยจนมาถึงทุกวันนี้
และที่สะดุดตาที่สุดของเมืองนี้คือ สำนักงานว่าการประจำเมือง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาเล็กๆใจกลางเมือง ถูกสร้างขึ้นมาประมาณกลางศตวรรษที่ 19 นับว่าเป็น Landmark ที่เด่นตระหง่าน สวยงามแปลกตามากทีเดียว
Palcho Monastery วัดลามะเก่าแก่กว่า 800 ปี |
สำนักงานว่าการประจำเมือง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาเล็กๆใจกลางเมือง ถูกสร้างขึ้นมาประมาณกลางศตวรรษที่ 19 |
#วันที่ 12 กางเซ-ติงลี่ กับระยะทางร่วม 360 กม.
ตื่นเช้ามาพร้อมกับอากาศหนาวเย็นฉ่ำฝน อุณหภูมิประมาณ 5 องศาฯ แต่รู้สึกเหมือนว่าอุณหภูมิติดลบยังไงยังงั้น
เช้านี้เลยไม่อยากลงไปทานอาหาร จึงจัดการกับสเต็กจามรีพริกไทยดำ สูตรพื้นเมืองที่เก็บมาจากมื้อเย็นเมื่อวาน สเต็กที่นี่จะมีน้ำซอสสต็อกข้น รสชาติออกมันเค็มปนด้วยรสเผ็ดพริกไทยน้อยๆ เมื่อซอสซึมผ่านเข้าเนื้อจามรีสุกปานกลางเป็นเวลานานร่วมคืน จึงทำให้รสชาติเด็ดสะระตี่อย่าบอกใครเชียว
วันนี้คณะเราขับบนถนนลาดยาง 2 เลนส์ ผ่านเมืองเล็กๆในชนบท ทิวทัศน์ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งดอกผักกาด หรือมัสตาร์ดกว้างใหญ่ มองได้ไกลสุดตา ผ่านบ้านเรือนแบบทิเบตดั้งเดิม ที่ทำรั้วบ้านด้วยมูลจามรี นำมาปั้นเป็นก้อนประมาณลูกฝรั่งกิมจู แล้วนำมาวางต่อกันเป็นแนวรั้ว ประโยชน์ใช้สอยอีกอย่างหนึ่งของมูลจามรีแห้งก็คือ ชาวบ้านจะนำมาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อจุดไฟใช้หุงหาอาหารและเพื่อความอบอุ่นในครัวเรือนอีกด้วย
จิมี่ ไกด์หนุ่มชาวทิเบตได้แอบกระซิบสูตรเด็ดในการย่างเนื้อจามรีให้หอมอร่อยและเป็นเคล็ดลับของชาวทิเบตว่า ต้องย่างเนื้อด้วยมูลของมันเองเท่านั้น!!!!!
ตื่นเช้ามาพร้อมกับอากาศหนาวเย็นฉ่ำฝน อุณหภูมิประมาณ 5 องศาฯ แต่รู้สึกเหมือนว่าอุณหภูมิติดลบยังไงยังงั้น
เช้านี้เลยไม่อยากลงไปทานอาหาร จึงจัดการกับสเต็กจามรีพริกไทยดำ สูตรพื้นเมืองที่เก็บมาจากมื้อเย็นเมื่อวาน สเต็กที่นี่จะมีน้ำซอสสต็อกข้น รสชาติออกมันเค็มปนด้วยรสเผ็ดพริกไทยน้อยๆ เมื่อซอสซึมผ่านเข้าเนื้อจามรีสุกปานกลางเป็นเวลานานร่วมคืน จึงทำให้รสชาติเด็ดสะระตี่อย่าบอกใครเชียว
วันนี้คณะเราขับบนถนนลาดยาง 2 เลนส์ ผ่านเมืองเล็กๆในชนบท ทิวทัศน์ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งดอกผักกาด หรือมัสตาร์ดกว้างใหญ่ มองได้ไกลสุดตา ผ่านบ้านเรือนแบบทิเบตดั้งเดิม ที่ทำรั้วบ้านด้วยมูลจามรี นำมาปั้นเป็นก้อนประมาณลูกฝรั่งกิมจู แล้วนำมาวางต่อกันเป็นแนวรั้ว ประโยชน์ใช้สอยอีกอย่างหนึ่งของมูลจามรีแห้งก็คือ ชาวบ้านจะนำมาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อจุดไฟใช้หุงหาอาหารและเพื่อความอบอุ่นในครัวเรือนอีกด้วย
จิมี่ ไกด์หนุ่มชาวทิเบตได้แอบกระซิบสูตรเด็ดในการย่างเนื้อจามรีให้หอมอร่อยและเป็นเคล็ดลับของชาวทิเบตว่า ต้องย่างเนื้อด้วยมูลของมันเองเท่านั้น!!!!!
เส้นทางถนนส่วนใหญ่ในเขตทิเบต ถนนจะลัดเลาะไปตามโค้งของลำธารธรรมชาติ ที่ละลายมาจากหิมะบนยอดเขาแต่ละลูก ไหลเรียงมารวมกันเป็นลำธารขนาดใหญ่ เฉลี่ยความสูงของวันนี้ประมาณ 4,000 MSL วิ่งผ่านจุดสูงสุดของเส้นทางที่ 5,200 MSL มองเห็นเทือกเขาหิมาลัยในมุมพานอรามาอย่างเต็มตาชัดเจน อ็อกซิเจนกระป๋อง จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว
ช่วงบ่ายแก่ๆ คณะเราขับมาถึงทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ โอบล้อมไปด้วยขุนเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะบางๆ ก็จะพบกับชาวเผ่าทิเบตเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน มองเห็นฝูงจามรีและฝูงแพะหลายร้อยตัว กระจายแทะเล็มหญ้าเขียวอ่อนไปรอบบริเวณ ชาวเผ่าเร่ร่อนนี้อาศัยอยู่ในกระโจมที่ทำจากหนังจามรีสีดำ ปลูกสร้างแบบง่ายๆเพื่อความสะดวกในการรื้อย้ายตามฝูงสัตว์ไปเรื่อยๆ การแต่งกายเน้นเสื้อผ้าสีโทนดำ เสริมหล่อสวยด้วยเครื่องประดับลูกปัดสี หินทิเบตแบบต่างๆ และกลิ่นตัวที่เหมือนกลิ่มนมที่เป็นเอกลักษณ์ นับว่าเป็นสิ่งแปลกๆที่เป็นมนต์เสน่ห์แบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ระหว่างทางก่อนถึงเมืองติงลี่ จิมี่ ไกด์ของเราก็ตะโกนโหวกเหวกลั่นรถ ชี้ชวนให้คณะเราหยุดรถ เพื่อชมกับยอดเขาเอเวอเรสต์อันยิ่งใหญ่ในภาพที่เล็กกระจิ๊ดริด แต่นั่น ก็ไม่อาจห้ามให้พวกเราตื่นเต้นกันได้เลย
#วันที่ 13 เมืองติงลี่-Everest Base camp, Northface
ตื่นเช้ามาพร้อมอากาศหนาวเหน็บ เป็นวันที่ไม่มีฝน ท้องฟ้าสดใส แสงแดดสาดราดเรี่ยทิวเขาสวยงามราวกับภาพวาด
นับเป็นวันที่โชคดีมากๆ เพราะวันนี้ คณะเราจะได้สัมผัสยอดเขาเอเวอเรสต์ในมุมนอร์ทเฟสกันแบบใกล้ชิดเต็มตาชัดเจน
หลังจากที่ทุกคนต้องลงรถ เพื่อยืนรอต่อแถวตรวจเอกสารกันเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ถนนที่สวยงามมากที่สุดเท่าที่คณะเราเดินทางมาในครั้งนี้ เส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยวเลาะไปตามเทือกเขาหิมาลัย (ชาวทิเบตเรียกเทือกเขาหิมาลัยว่า “ลีมาลาย่า ซันไม่”) ไต่ระดับความสูงเฉลี่ยกว่า 5,000 MSL จอดแวะชมวิวทิวทัศน์ถ่ายภาพกันไปตลอดทางแบบไม่มีอะไรต้องเร่งรีบ ภาพถนนโค้งงอพับหักศอกยาวเหยียด ภาพยอดเขาหิมะสูงตระหง่านทั้ง 3 ยอด ออกมาเผยโฉมต้อนรับคณะเราอย่างยินดี ภาพดอกไม้ต้นไม้เล็กๆสวยงามแปลกตา ขึ้นแซมพื้นหินเขาสู้ลมหนาวอย่างไม่สะทกสะท้าน ที่นี่!!! คือสวรรค์ชัดๆ
ตื่นเช้ามาพร้อมอากาศหนาวเหน็บ เป็นวันที่ไม่มีฝน ท้องฟ้าสดใส แสงแดดสาดราดเรี่ยทิวเขาสวยงามราวกับภาพวาด
นับเป็นวันที่โชคดีมากๆ เพราะวันนี้ คณะเราจะได้สัมผัสยอดเขาเอเวอเรสต์ในมุมนอร์ทเฟสกันแบบใกล้ชิดเต็มตาชัดเจน
หลังจากที่ทุกคนต้องลงรถ เพื่อยืนรอต่อแถวตรวจเอกสารกันเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ถนนที่สวยงามมากที่สุดเท่าที่คณะเราเดินทางมาในครั้งนี้ เส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยวเลาะไปตามเทือกเขาหิมาลัย (ชาวทิเบตเรียกเทือกเขาหิมาลัยว่า “ลีมาลาย่า ซันไม่”) ไต่ระดับความสูงเฉลี่ยกว่า 5,000 MSL จอดแวะชมวิวทิวทัศน์ถ่ายภาพกันไปตลอดทางแบบไม่มีอะไรต้องเร่งรีบ ภาพถนนโค้งงอพับหักศอกยาวเหยียด ภาพยอดเขาหิมะสูงตระหง่านทั้ง 3 ยอด ออกมาเผยโฉมต้อนรับคณะเราอย่างยินดี ภาพดอกไม้ต้นไม้เล็กๆสวยงามแปลกตา ขึ้นแซมพื้นหินเขาสู้ลมหนาวอย่างไม่สะทกสะท้าน ที่นี่!!! คือสวรรค์ชัดๆ
ครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากันแบบจะจะ |
ไกด์พาเรามาถึงวัดรงบุก (Rongbu Desi วัดพุทธที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่สูงที่สุดในโลก ที่ความสูงกว่า 5,250 MSL) วัดนี้ยังคงทำการซ่อมแซมบูรณะมาต่อเนื่องนับตั้งแต่กลางปีที่แล้ว จากเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ที่ประเทศเนปาล
วัดรงบุก วัดพุทธที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สูงที่สุดในโลก |
ขับรถกันต่อไปอีกไม่ไกล คณะเราก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดของถนน Everest Base Campฝั่งทิเบต หรือที่รู้จักในหมู่นักเดินทางปีนเขากันเป็นอย่างดีว่า Northface (ชาวทิเบตเรียกยอดเขาEverest ว่า “Qomolangma”)
จุดนี้ เป็นจุดพักแรมและจอดรถส่วนตัวทุกคันจุดสุดท้ายของนักเดินทางทุกๆคน สำหรับที่พักที่นี่ เป็นกระโจมที่ทำจากหนังสัตว์บ้าง สร้างจากไวนิลแบบใหม่บ้าง ต่างมีเตียงสนามอยู่3-4หลังและเตาผิงอยู่ภายใน ปลูกสร้างแบบง่ายๆเรียงรายโอบล้อมลานกว้างแนวสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่จัดไว้เป็นที่จอดรถและร้านขายของที่ระลึกของชาวท้องถิ่น กว้างประมาณ 2 สนามฟุตบอลเท่านั้น
Everest Basecamp ฝั่งทิเบต |
จากนั้นคณะเราขึ้นรถบัสเล็ก กับระยะทางประมาณ 5 km.เพื่อเดินทางขึ้นไปยังจุดชมวิวจุดสุดท้ายของเมืองนี้ ที่ซึ่งอยู่ห่างจากยอดเขาเอเวอเรสต์เพียงแค่ 12 km.เท่านั้นเอง
จิมี่ ไกด์ทิเบตบอกกับคณะว่า เราโชคดีมากๆ เพราะทัศนะวิสัยที่ค่อนข้างเปิด มองเห็นวิวได้ชัดเจนเกือบตลอดทั้งวัน
ไกด์ยังบอกต่อไปอีกว่า มีกลุ่มนักถ่ายภาพชาวจีนกลุ่มใหญ่ที่เดินทางมาก่อนเรา ต้องรอถึง 3 วัน กว่าจะเก็บภาพสวยงามแบบที่เห็นในวันนี้ได้
ทางรถเล็กๆ เบื้องหน้า คือเขตประเทศเนปาล |
ประมาณ 5 โมงเย็น คณะเราเดินทางกลับมาที่พัก (เราไม่นอนที่Base Campเพราะตอนกลางคืนลมแรงและหนาวเย็นมาก) ทานข้าวเย็นกันในภัตตาคารที่ดีที่สุดของเมืองนี้ เราเลือกนั่งมุมที่มองเห็นวิวเขาได้ชัดเจนที่สุด จนกระทั่งเกือบสองทุ่ม Qomolangma ก็เผยโฉมออกมาอีกครั้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์มาออกมาร่ำลาในแบบแสงสุดท้ายของวัน ถือว่าเป็นประสบประการณ์ที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว
ที่พักที่ดีที่สุดในพื้นที่ ห้องอาหารมุมมองยอดเขาEverest |
แสงสุดท้ายที่ส่องกระทบยอดเขา ที่เวลาเกือบสามทุ่ม |
คืนนี้ อุณหภูมิต่ำสุดถึง -3 C ที่พักตั้งอยู่ที่ความสูง 5,200 MSL แทบไม่มีใครหลับสนิทได้เลย เนื่องจากน็อคความสูงกันถ้วนหน้า
เช้านี้เรานัดหมายกันตั้งแต่
6 โมงเช้า แต่หลายๆคนออกมาเก็บของเตรียมรถกันตั้งแต่ตี 4 (หรืออาจเช้ากว่านั้น)
สรุปได้ว่า เมื่อคืน ไม่มีใครได้นอนหลับสนิทแม้แต่คนเดียว
เราจึงออกเดินทางกันก่อนกำหนดกว่าชั่วโมง
อากาศตอนเช้า ยังคงหนาวเหน็บ ท้องฟ้าค่อนข้างเปิด เราขับรถย้อนลงมาตามเส้นทางเดิม วิ่งเลาะตามแนวล่องเขาหิน เลียบธารน้ำที่ไหลมาจากยอดเขาหิมะ
อาการมึนงง เป็นของฝากที่เราพกพากลับมาด้วยกันถ้วนหน้าแบบไม่ตั้งใจ ทำให้การสนทนาสื่อสารระหว่างรถแต่ละคันนั้นขาดหายไปพอสมควร ต่างคนต่างจดจ่อมุ่งลงสู่ที่ต่ำโดยเร็วที่สุด
ก่อนแปดโมงเช้า เรามาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองด่านใหญ่ที่เมือง Tingri ทุกคนต่างเดินโซเซลงมาจากรถเพื่อทำการถ่ายรูปที่เคาท์เตอร์ เราเสียเวลารอกันนาน เนื่องจากมาถึงกันแต่เช้า เจ้าหน้าที่เค้ายังไม่พร้อมปฏิบัติงาน
ถึงร้านอาหารมื้อกลางวันเร็วกว่ากำหนด บางคนก็ไม่ลงมาจากรถ เพราะต้องการงีบหลับพักผ่อนฟื้นแรงกันเล็กน้อย
ขับมาถึงเมือง “ซิกาซเซ” ตอนบ่ายสามโมง (เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของทิเบต รองจากกรุงลาซา บนความสูง 3,800 MSL) เข้าที่พักย่านใจกลางเมือง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อนเอาแรง เรานัดหมายกันอีกครั้งเวลาสี่โมงครึ่ง เพื่อจะไปเที่ยวชมวัด “ซาจื่อหลุนปู้” (วัดลามะที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ อายุมากกว่า 600 ปี) เมื่อถึงเวลานัดหมาย จำนวนคณะเราเริ่มน้อยลง
วันนี้แดดแรงมาก แต่อากาศค่อนข้างเย็นสบาย เราเดินจากที่พักผ่านถนนพื้นหินแผ่น ถนนเส้นตรงยาวกว่าหนึ่งกิโล ผ่านร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหารพื้นเมืองมากมาย ชาวเมืองส่วนใหญ่ ล้วนแต่งกายแบบทิเบตดั้งเดิม ด้วยสีสันของเสื้อผ้าและเครื่องประดับสร้อยคอ ต่างหู กำไร สวยงาม ดูน่าตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
เราเดินเข้าชมวัดซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ต้องเดินขึ้นทางชันบ้างบางช่วง ผ่านตัวอาคารดินปูนผสมไม้ขนาดต่างๆที่แบ่งเป็นสัดส่วนไว้สำหรับพุทธพิธีต่างๆมากมาย มีร่องรอยการรุกรานจากจีนด้วยการเขียนสีข้อความชื่อท่านผู้นำในยุคนั้นตามผนังภาพวาดต่างๆ
ด้านในสุด จะเป็นลานจัตุรัสกว้างประมาณ 1 สนามบาสเกตบอล มีเสาสูงประมาณตึก 4 ชั้นตั้งอยู่กลางลาน โดยที่ส่วนด้านบนสุดนั้น มีเศษซากของสัตว์บูชายัญให้พอได้เห็น
อากาศตอนเช้า ยังคงหนาวเหน็บ ท้องฟ้าค่อนข้างเปิด เราขับรถย้อนลงมาตามเส้นทางเดิม วิ่งเลาะตามแนวล่องเขาหิน เลียบธารน้ำที่ไหลมาจากยอดเขาหิมะ
อาการมึนงง เป็นของฝากที่เราพกพากลับมาด้วยกันถ้วนหน้าแบบไม่ตั้งใจ ทำให้การสนทนาสื่อสารระหว่างรถแต่ละคันนั้นขาดหายไปพอสมควร ต่างคนต่างจดจ่อมุ่งลงสู่ที่ต่ำโดยเร็วที่สุด
ก่อนแปดโมงเช้า เรามาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองด่านใหญ่ที่เมือง Tingri ทุกคนต่างเดินโซเซลงมาจากรถเพื่อทำการถ่ายรูปที่เคาท์เตอร์ เราเสียเวลารอกันนาน เนื่องจากมาถึงกันแต่เช้า เจ้าหน้าที่เค้ายังไม่พร้อมปฏิบัติงาน
ถึงร้านอาหารมื้อกลางวันเร็วกว่ากำหนด บางคนก็ไม่ลงมาจากรถ เพราะต้องการงีบหลับพักผ่อนฟื้นแรงกันเล็กน้อย
ขับมาถึงเมือง “ซิกาซเซ” ตอนบ่ายสามโมง (เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของทิเบต รองจากกรุงลาซา บนความสูง 3,800 MSL) เข้าที่พักย่านใจกลางเมือง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อนเอาแรง เรานัดหมายกันอีกครั้งเวลาสี่โมงครึ่ง เพื่อจะไปเที่ยวชมวัด “ซาจื่อหลุนปู้” (วัดลามะที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ อายุมากกว่า 600 ปี) เมื่อถึงเวลานัดหมาย จำนวนคณะเราเริ่มน้อยลง
วันนี้แดดแรงมาก แต่อากาศค่อนข้างเย็นสบาย เราเดินจากที่พักผ่านถนนพื้นหินแผ่น ถนนเส้นตรงยาวกว่าหนึ่งกิโล ผ่านร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหารพื้นเมืองมากมาย ชาวเมืองส่วนใหญ่ ล้วนแต่งกายแบบทิเบตดั้งเดิม ด้วยสีสันของเสื้อผ้าและเครื่องประดับสร้อยคอ ต่างหู กำไร สวยงาม ดูน่าตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
เราเดินเข้าชมวัดซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ต้องเดินขึ้นทางชันบ้างบางช่วง ผ่านตัวอาคารดินปูนผสมไม้ขนาดต่างๆที่แบ่งเป็นสัดส่วนไว้สำหรับพุทธพิธีต่างๆมากมาย มีร่องรอยการรุกรานจากจีนด้วยการเขียนสีข้อความชื่อท่านผู้นำในยุคนั้นตามผนังภาพวาดต่างๆ
ด้านในสุด จะเป็นลานจัตุรัสกว้างประมาณ 1 สนามบาสเกตบอล มีเสาสูงประมาณตึก 4 ชั้นตั้งอยู่กลางลาน โดยที่ส่วนด้านบนสุดนั้น มีเศษซากของสัตว์บูชายัญให้พอได้เห็น
ช่วงที่เราเดินกลับไปยังโรงแรม ประมาณ 6 โมงเย็น เป็นช่วงที่ชาวเมืองเลิกงานพอดี เราจึงมีโอกาสได้เห็นผู้คนสัญจรกันจอแจ ข้างทางมีเครื่องประดับ สร้อยหิน ลูกปัด ต่างหู วางขายกันมากมาย
ก่อนถึงที่พัก เราเดินเลือกร้านที่จะทานมื้อเย็นกันอย่างชั่งใจอยู่หลายร้าน สุดท้าย หลายคนก็ปลีกตัวแยกย้ายกันพักผ่อนแบบมาม่าปลากระป๋องกันตามอัธยาศัย
ค่ำนี้ ทุกคนเข้าห้องพักกันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อดหลับอดนอนกันมาตั้งแต่เมื่อคืน
#วันที่ 15 ย้อนเข้ากรุงลาซา
เช้านี้ ทุกคนดูสดชื่นแจ่มใสกันถ้วนหน้า หลังจากที่ได้พักผ่อนกันแบบเต็มที่
จุดหมายของเราในวันนี้คือ ย้อนกลับเข้ากรุงลาซา กับระยะทางประมาณ 320 km.ที่ต้องขับผ่านถนนสองเลนส์สวนทางแคบๆ ขึ้นเขาคดเคี้ยวสูงชัน บางช่วงวิ่งเลาะเหวไปตามทะเลสาปศักสิทธิ์สีเขียวเทอคอยส์สวยงาม บางช่วงทางผ่านธารน้ำแข็งเฉียดยอดเขาหิมะสูงกว่า 4,800 MSL ได้เห็นทั้งท้องฟ้ากว้างใหญ่ พาดผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี แซมด้วยดอกมัสตาร์ดสีเหลืองเข้ม ขับผ่านบ้านเรือนในชนบทรูปแบบแปลกตา ได้เห็นผู้คนชาวพื้นเมืองที่แต่งตัวแบบทิเบตแท้ๆ และฝูงสัตว์ขนยาวในเขตหนาวหลากชนิด
ทุกนาทีบนถนนเส้นนี้ ช่างเป็นช่วงที่ตรึงตาประทับใจเป็นที่สุด
พี่สาวคนหนึ่งที่ร่วมทริปด้วยกันในครั้งนี้ เธอบอกว่า
“พี่เคยเดินทางมาแล้วเกือบทั่วโลก แต่ที่นี่....มันคือสวรรค์ชัดๆ สวยงามที่สุดในโลกกกกกกกก.....”
เวลาประมาณสิบโมงกว่าๆ พระอาทิตย์ยังไม่สามารถส่องแสงผ่านม่านหมอกเมฆที่ปกคลุมทั่วทั้งทิวเขามาถึงเราได้อย่างเต็มที่ บางช่วงที่ม่านหมอกเผลอเรอ ก็จะมีเพียงลำแสงพุ่งทแยงลงมาจากเบื้องบน ฉายส่องลงมายังพื้นที่เบื้องล่างชัดเจน เหมือนประหนึ่งว่าเรากำลังมองดูการแสดงแสงเสียงจากฝีมือมนุษย์ตัวน้อย แต่การแสดงชุดไหนหรือจะสวยงามอลังการได้เท่าการแสดงจากธรรมชาติ!!!
หลังจากได้หยุดพักชื่นชมเสน่ห์แห่งทิเบตกันอย่างเต็มอิ่มแล้ว ก็เข้าสู่ช่วงเส้นทางทรหดยาวๆไปอีกทั้งวัน ผ่านเส้นทางพาดผ่านภูเขาคดเคี้ยว เลี้ยวอย่างเดียว ไม่มีเส้นตรง ตลอดเส้นทางกว่า 250 กม. เราต้องขับหลบหลีกรถสวนมาอย่างบ้าคลั่ง บางช่วงผิวถนนก็หายไปในเหว มีหินก้อนใหญ่ยักษ์กลิ้งตัวมานอนเล่นอยู่กลางถนน ให้เราได้ขับหลบกันอย่างเมามัน พี่โสภา เพื่อนร่วมเดินทางในทริปนี้ถึงกับออกปากชมว่า “เมืองอะไร หินเยอะฉิบหาย”
ก่อนหกโมงเย็นเล็กน้อย เราก็มาถึงทะเลสาบเรือนกระจกที่สวยงามมาก ซึ่งในตอนขามา เราแทบไม่เห็นวิวอะไรจากตรงนี้เลย การเดินทางที่ต่างเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน แต่ความงดงามของสถานที่ที่เดียวกัน ช่างสวยงามแตกต่างกับแบบลิบลับ
กว่าคณะเราจะมาถึงเมือง “ไปยี่” ที่พักของเราในคืนนี้ ก็ปาไปสองทุ่ม ในเมืองนี้ ไร้ซึ่งไฟส่องถนน เพราะอยู่ในช่วงทำถนนทั้งเมือง แถบยังมีหมอกควันหนาปกคลุมไปทั่วทั้ง ชวนให้นึกถึงบรรยากาศของหนังดังต่างแดนเรื่อง “Silent Hills”
เช้านี้ ทุกคนดูสดชื่นแจ่มใสกันถ้วนหน้า หลังจากที่ได้พักผ่อนกันแบบเต็มที่
จุดหมายของเราในวันนี้คือ ย้อนกลับเข้ากรุงลาซา กับระยะทางประมาณ 320 km.ที่ต้องขับผ่านถนนสองเลนส์สวนทางแคบๆ ขึ้นเขาคดเคี้ยวสูงชัน บางช่วงวิ่งเลาะเหวไปตามทะเลสาปศักสิทธิ์สีเขียวเทอคอยส์สวยงาม บางช่วงทางผ่านธารน้ำแข็งเฉียดยอดเขาหิมะสูงกว่า 4,800 MSL ได้เห็นทั้งท้องฟ้ากว้างใหญ่ พาดผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี แซมด้วยดอกมัสตาร์ดสีเหลืองเข้ม ขับผ่านบ้านเรือนในชนบทรูปแบบแปลกตา ได้เห็นผู้คนชาวพื้นเมืองที่แต่งตัวแบบทิเบตแท้ๆ และฝูงสัตว์ขนยาวในเขตหนาวหลากชนิด
ทุกนาทีบนถนนเส้นนี้ ช่างเป็นช่วงที่ตรึงตาประทับใจเป็นที่สุด
พี่สาวคนหนึ่งที่ร่วมทริปด้วยกันในครั้งนี้ เธอบอกว่า
“พี่เคยเดินทางมาแล้วเกือบทั่วโลก แต่ที่นี่....มันคือสวรรค์ชัดๆ สวยงามที่สุดในโลกกกกกกกก.....”
Garcier ธารน้ำแข็งบนเขาหิมะ มีให้เห็นตลอดทางในเขตนี้ |
Holy Lake ทะเลสาปศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบต |
#วันที 16 มุ่งหน้าสู่เมือง “ไปยี่”
เช้านี้ ล้อหมุนตั้งแต่ 6 โมง เราใช้เส้นทางย้อนกลับทางเดิม แต่สภาพถนนขากลับนั้น ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย จากถนนลาดยาง 2 เลนสภาพดีที่พาดผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี มาตอนนี้ บนพื้นถนนและบริเวณโดยรอบหลายๆช่วงนั้น เต็มไปด้วยก้อนหิน เศษดินน้อยใหญ่ เกลื่อนกราดขวางเส้นทางสัญจรเยอะแยะไปหมด บางช่วงก็มีก้อนหินขนาดใหญ่เท่ากับรถบัสมาปิดถนนให้เห็นเกือบตลอดทาง บางช่วง เส้นทางถูกขวางโดยสายน้ำหลากเชี่ยว รถเล็กๆบางคันยังไม่กล้าที่จะวิ่งผ่าน แต่ในขบวนเรา CR-V สุดยอดใจ สามารถวิ่งข้ามฝ่ามาได้ทุกวิกฤต
ช่วงเช้า เป็นช่วงที่เราต้องเร่งทำเวลาข้ามเขาคดเคี้ยวสูงชันไปอีกหลายลูก บนถนนที่กำลังปรับปรุงผิวถนน จากการกัดเซาะของสายน้ำหลากและหินถล่มอีกหลายจุด เพื่อให้ทันเวลาปิดถนน เราจึงตั้งหน้าตั้งตาขับกับแบบเครียดๆ แทบไม่ได้ชายตามองวิวสวยๆตลอดข้างทางกันเลยทีเดียว และคณะเราก็มาถึงเมืองชนบทเล็กๆ เมือง “ลูลาง” หรือเมือง “ปราสาทมังกร” ได้ทันเวลาปิดถนนพอดิบพอดี
เช้านี้ ล้อหมุนตั้งแต่ 6 โมง เราใช้เส้นทางย้อนกลับทางเดิม แต่สภาพถนนขากลับนั้น ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย จากถนนลาดยาง 2 เลนสภาพดีที่พาดผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี มาตอนนี้ บนพื้นถนนและบริเวณโดยรอบหลายๆช่วงนั้น เต็มไปด้วยก้อนหิน เศษดินน้อยใหญ่ เกลื่อนกราดขวางเส้นทางสัญจรเยอะแยะไปหมด บางช่วงก็มีก้อนหินขนาดใหญ่เท่ากับรถบัสมาปิดถนนให้เห็นเกือบตลอดทาง บางช่วง เส้นทางถูกขวางโดยสายน้ำหลากเชี่ยว รถเล็กๆบางคันยังไม่กล้าที่จะวิ่งผ่าน แต่ในขบวนเรา CR-V สุดยอดใจ สามารถวิ่งข้ามฝ่ามาได้ทุกวิกฤต
ช่วงเช้า เป็นช่วงที่เราต้องเร่งทำเวลาข้ามเขาคดเคี้ยวสูงชันไปอีกหลายลูก บนถนนที่กำลังปรับปรุงผิวถนน จากการกัดเซาะของสายน้ำหลากและหินถล่มอีกหลายจุด เพื่อให้ทันเวลาปิดถนน เราจึงตั้งหน้าตั้งตาขับกับแบบเครียดๆ แทบไม่ได้ชายตามองวิวสวยๆตลอดข้างทางกันเลยทีเดียว และคณะเราก็มาถึงเมืองชนบทเล็กๆ เมือง “ลูลาง” หรือเมือง “ปราสาทมังกร” ได้ทันเวลาปิดถนนพอดิบพอดี
เวลาประมาณสิบโมงกว่าๆ พระอาทิตย์ยังไม่สามารถส่องแสงผ่านม่านหมอกเมฆที่ปกคลุมทั่วทั้งทิวเขามาถึงเราได้อย่างเต็มที่ บางช่วงที่ม่านหมอกเผลอเรอ ก็จะมีเพียงลำแสงพุ่งทแยงลงมาจากเบื้องบน ฉายส่องลงมายังพื้นที่เบื้องล่างชัดเจน เหมือนประหนึ่งว่าเรากำลังมองดูการแสดงแสงเสียงจากฝีมือมนุษย์ตัวน้อย แต่การแสดงชุดไหนหรือจะสวยงามอลังการได้เท่าการแสดงจากธรรมชาติ!!!
หลังจากได้หยุดพักชื่นชมเสน่ห์แห่งทิเบตกันอย่างเต็มอิ่มแล้ว ก็เข้าสู่ช่วงเส้นทางทรหดยาวๆไปอีกทั้งวัน ผ่านเส้นทางพาดผ่านภูเขาคดเคี้ยว เลี้ยวอย่างเดียว ไม่มีเส้นตรง ตลอดเส้นทางกว่า 250 กม. เราต้องขับหลบหลีกรถสวนมาอย่างบ้าคลั่ง บางช่วงผิวถนนก็หายไปในเหว มีหินก้อนใหญ่ยักษ์กลิ้งตัวมานอนเล่นอยู่กลางถนน ให้เราได้ขับหลบกันอย่างเมามัน พี่โสภา เพื่อนร่วมเดินทางในทริปนี้ถึงกับออกปากชมว่า “เมืองอะไร หินเยอะฉิบหาย”
ก่อนหกโมงเย็นเล็กน้อย เราก็มาถึงทะเลสาบเรือนกระจกที่สวยงามมาก ซึ่งในตอนขามา เราแทบไม่เห็นวิวอะไรจากตรงนี้เลย การเดินทางที่ต่างเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน แต่ความงดงามของสถานที่ที่เดียวกัน ช่างสวยงามแตกต่างกับแบบลิบลับ
กว่าคณะเราจะมาถึงเมือง “ไปยี่” ที่พักของเราในคืนนี้ ก็ปาไปสองทุ่ม ในเมืองนี้ ไร้ซึ่งไฟส่องถนน เพราะอยู่ในช่วงทำถนนทั้งเมือง แถบยังมีหมอกควันหนาปกคลุมไปทั่วทั้ง ชวนให้นึกถึงบรรยากาศของหนังดังต่างแดนเรื่อง “Silent Hills”
#วันที่ 17 มุ่งหน้าสู่เมืองปาซู
เช้านี้ เราออกกันตั้งแต่ก่อน 7 โมงเช้า
เพราะได้ข่าวว่า เส้นทางที่เราจะวิ่งไปนั้น โดนฝนถล่มมาหลายวัน
ซึ่งก็เป็นไปดังคาด ถนนหลายช่วงโดนน้ำเซาะถนนขาดหลายจุด บางช่วงมีน้ำพาดผ่านขวางถนน
วันนี้ทั้งวัน ขับข้ามเขาคดเคี่ยวหลายลูก เจอฝนตกเกือบตลอดทาง เรามา ถึงที่พักกันเกือบสามทุ่ม ทุกคนต่างแยกย้ายพักผ่อนกันด้วยความอ่อนเพลียกับอากาศหนาวเหน็บชื้น
ซึ่งก็เป็นไปดังคาด ถนนหลายช่วงโดนน้ำเซาะถนนขาดหลายจุด บางช่วงมีน้ำพาดผ่านขวางถนน
วันนี้ทั้งวัน ขับข้ามเขาคดเคี่ยวหลายลูก เจอฝนตกเกือบตลอดทาง เรามา ถึงที่พักกันเกือบสามทุ่ม ทุกคนต่างแยกย้ายพักผ่อนกันด้วยความอ่อนเพลียกับอากาศหนาวเหน็บชื้น
#วันที่18 เมืองหมากคัง
เส้นทางที่เราวิ่งกันวันนี้ ไม่ต่างจากวันที่ผ่านมาเท่าใดนัก
ขับข้ามเขาคดเคี้ยวกันยาวๆ
แต่ช่วงนี้ คณะเราไม่ค่อยมีใครบ่นเรื่องอาการน็อคความสูงกันเลย คงน่าจะชินกับทิเบตซะแล้ว แถมได้เห็นธรรมชาติยิ่งใหญ่ สวยงาม จนลืมป่วยกันไปเลยทีเดียว
แต่ช่วงนี้ คณะเราไม่ค่อยมีใครบ่นเรื่องอาการน็อคความสูงกันเลย คงน่าจะชินกับทิเบตซะแล้ว แถมได้เห็นธรรมชาติยิ่งใหญ่ สวยงาม จนลืมป่วยกันไปเลยทีเดียว
วันที่19 เต๋อชิง-แชงกรีล่า
วันนี้ เราขับกลับเข้าสู่เขตจีนโบราญ(ผมยังคิดว่า ทิเบต
ก็คือประเทศทิเบตอยู่ดี) วิ่งเลาะต้นน้ำโขง ผ่านเทือกเขาเหมยลี่ เมืองเฟ่ยไหล เข้าเมืองเต๋อชิง
ผ่านเทิอกเขาไป๋ยี่ เข้าสู่เมืองแชงกรีล่า
#วันที่20-21 ลี่เจียง
จากวันนี้ เราไม่เน้นเที่ยว จัดให้แบบพักผ่อนสบายๆ พักกัน 2 คืนที่เมืองลี่เจียง ปล่อยอิสระกันเต็มที่
#วันที่22 หลินชาง
จากวันนี้ เราไม่เน้นเที่ยว จัดให้แบบพักผ่อนสบายๆ พักกัน 2 คืนที่เมืองลี่เจียง ปล่อยอิสระกันเต็มที่
#วันที่22 หลินชาง
#วันที่23 สิบสองปันนา
#วันที่24 จีน-ลาว-ไทย อ.เชียงของ
กับการขับรถเดินทางรอนแรมนอกประเทศยาวไกลกว่า 7,700 กม. ใช้เวลา 25 วัน (รวมพักที่ไทยก่อนเดินทาง) ขับผ่านความสูงที่ 5,300 MSL (เมตร เหนือระดับน้ำทะเล) กับอากาศเบาบางหนาวเหน็บถึง -3 C
ทริปนี้ นอกจากจะเป็นทริปท้าทายยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตการเดินทางของแต่ละคนแล้ว ยังเป็นบทพิสูจน์ทั้งสมรรถนะความพร้อมของรถยนต์ สมรรถภาพร่างกายของผู้เดินทาง จิตใจที่พร้อมสำหรับเผชิญหน้าอุปสรรคที่ไม่คาดคิด และความมีน้ำใจของแต่ละคนในคณะได้เป็นอย่างดี
เราจะกลับไปอีกครั้งในปี 2561 กับดินแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์แห่งนี้ สนใจร่วมเดินทางกับเรา ติดต่อกันมาได้ครับ
สวัสดี
เราจะกลับไปอีกครั้งในปี 2561 กับดินแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์แห่งนี้ สนใจร่วมเดินทางกับเรา ติดต่อกันมาได้ครับ
สวัสดี
ท่านที่สนใจภาพถ่ายไฟล์ใหญ่เพื่อธุรกิจ ติดต่อได้โดยตรง 0816862188
https://web.facebook.com/caravanthailandtravel/
https://web.facebook.com/caravanthailandtravel/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น